Saturday, July 20, 2013

วันไหว้พระจันทร์


เทศกาลไหว้พระจันทร์” เป็นเทศกาลดี ที่มีความเกี่ยวข้องกับตำนาน เรื่องดวงจันทร์ของชาวจีนอย่างแนบแน่น เช่นเรื่อง “ฉังเอ๋อเหินสู่ดวงจันทร์” ถือว่าเป็นเรื่องที่มีชื่อเสียงมาก เป็น การไหว้ครั้งที่ 6 ของปี เรียกการไหว้ครั้งนี้ว่า “ตงชิวโจ่ย” ถือเป็นวันสารทวันหนึ่งของชาวจีน เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์ ในวันกลางฤดูใบไม้ร่วง ตรง กับวันที่ 15 เดือน 8 ของจีน
เมื่อคำนวณตามจันทรคติแบบจีนแต่จะตรงกับจันทรคติแบบไทย คือเดือน 10 (ประมาณเดือนกันยายน) ชาวจีนหรือคนไทยเชื้อสายจีนในเมืองไทย จะทำพิธีเซ่นไหว้ทั้งพระจันทร์ และเจ้าแม่กวนอิม การไหว้พระจันทร์ของคนจีนเป็นที่รู้จักกันดีกว่าเทศกาลไหว้อื่นๆ เพราะมีเรื่องราวที่น่าสนใจ และมีของไหว้ที่เป็นแบบเฉพาะ เช่นมีขนมไหว้พระจันทร์ มีต้นอ้อย โคมไฟ เทศกาลนี้เป็นอุบายในการปลดแอกชาติจีน ออกจากการปกครองของพวกมองโกล
ในคืนวันไหว้พระจันทร์ ดวงจันทร์สว่างและกลม ถือว่าสวยที่สุด ผู้คนถือว่าดวงจันทร์ที่กลมเป็นเสมือนสัญลักษณ์ของความสามัคคี ดังนั้นจึงเรียกเทศกาลนี้ว่า ” เทศกาลแห่งความกลมเกลียว ”
เรื่องราวเล่าขานกันว่า ในสมัยโบราณมีอยู่ช่วงหนึ่ง อยู่ๆ ก็ปรากฏพระอาทิตย์บนท้องฟ้า มากถึง 10 ดวง แผดเผาจนแผ่นดินแห้งแล้งไปหมด ทะเลเหือดแห้ง ทุกหัวระแหงลุก เป็นควันไฟ ชาวบ้านต่างสิ้นหวังที่จะมีชีวิตอยู่รอดไปได้ เรื่องราวทุกข์ร้อนของชาว บ้านนี้ได้ยินถึงหูของผู้กล้านาม โฮ่วยี่ 后羿 เขาจึงอยู่เฉยไม่ได้ ได้ขึ้นไปบนยอด เขาคุนหลุน ใช้พละกำลังสุดฤทธิ์ดึงเกาทัณฑ์ยิงพระอาทิตย์ดับไป 9 ดวง วีรกรรม ครั้งนี้ทำให้ชาวบ้านรอดพ้นจากความตาย จึงได้รับการเคารพ รักใคร่จากชาวบ้าน และผู้กล้าต่าง ๆ ในแผ่นดินต่างเดินทางมาเพื่อขอเป็นลูกศิษย์ฝึกวิทยายุทธ ซึ่งใน เหล่าผู้เกล้าเหล่านี้มีผู้จิตใจคิดชั่วนายเผิงเหมิง 蓬蒙รวมอยู่ด้วย
หลังจากนั้น โฮ่วยี่ได้แต่งงานกับสาวงามที่มีจิตใจอ่อนโยน มีความเมตตาชื่อฉางเอ๋อ 嫦娥ชีวิตของทั้งคู่จึงเป็นคู่กิ่งทองใบหยกที่ชาวบ้านต่างยินดีชมชอบกัน วันหนึ่ง โฮ่วยี่ได้ขึ้นไปยอดเขาคุนหลุนเพื่อเยี่ยมมิตรสหายและศึกษาธรรม ในระหว่างทางบังเอิญได้พบกับฮองเฮาแห่งสวรรค์ โฮ่วยี่จึงได้กราบของยาอายุวัฒนะ ซึ่ง กล่าวกันว่าเมื่อกินเข้าไปแล้วจึงสามารถเหาะเหินขึ้นสวรรค์กลายเป็นเซียนทันที
โฮ่วยี่ได้ยามาแล้ว แต่ก็อาลัยอาวรณ์ฉางเอ๋อ จึงไม่อยากทิ้งนางไว้คนเดียว จึงได้แต่มอบยาดังกล่าวให้ฉางเอ๋อเก็บรักษาไว้ในลิ้นชักโต๊ะเครื่องแป้ง แต่ก็ไม่คลาดสายตาของเผิงเหมิงผู้ซึ่งรู้เรื่องราวดังกล่าวด้วย
หลังจากนั้นสามวัน โฮ่วยี่ได้พาเหล่าลูกศิษย์ออกไปล่าสัตว์ แต่เผิงเหมิงแกล้งป่วย จึงทำเป็นนอนรักษาอยู่ในบ้าน เมื่อได้โอกาส เผิงเหมิงจึงควงกระบี่ขู่บังคับให้ฉางเอ๋อ มอบยาให้เขา ฉางเอ๋อรู้ว่าตนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเผิงเหมิง จึงหยิบยาออกมา แต่ฉวยจังหวะในเสี้ยววินาทีเอายาเข้าปากกลืมจนหมดสิ้น จากนั้นร่างของฉางเอ๋อก็ลอยเหนือพื้นดิน และเหาะออกหน้าต่าง เหินฟ้าสู่สวรรค์ไป แต่เนื่องจากยังเป็นห่วงสามี จึงเหาะไปเป็นเซียนในโลกพระจันทร์ เนื่องจากอยู่ใกล้โลกมนุษย์มากที่สุด
ค่ำคืนนั้น เมื่อโฮ่วยี่กลับจากการล่าสัตว์ สาวใช้ร้องห่มร้องไห้เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อตอนกลางวันให้ฟัง โฮ่วยี่ทั้งเจ็บแค้นทั้งโศกเศร้า แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เนื่องจากเผิงเหมิงหนีไปไกลแล้ว ก็ได้แต่นั่งร้องไห้พร้อมกับเงยหน้าตระโกนเรียกชื่อภรรยาตัวเอง ทันใดนั้น เขาก็สังเกตเห็นพระจันทร์ในคืนนี้มันสดสกาวและสว่างกว่าทุกคืนที่ผ่านๆ มา และยังสังเกตเห็นเงาเคลื่อนไหวในพระจันทร์ซึ่งดูเหมือนรูปร่างของฉางเอ๋อ
เมื่อชาวบ้านได้ยินเรื่องราวของฉางเอ๋อกลายเป็นเซียนบนพระจันทร์ ต่างก็จัดขนม เซ่นไหว้พร้อมจุดธูปกราบไหว้ขอพรจากฉางเอ๋อผู้ซึ่งมีความเมตตาให้คุ้มครองชีวิตมี ความสงบสุข จึงเป็นจุดเริ่มต้นของตำนานเทศกาลไหว้พระจันทร์ตั้งแต่นั้นมาจะเห็นว่า ตำนานของฉางเอ๋อข้างต้นนั้น เมื่อเทียบกับตำนานฉบับดั้งเดิมมันช่างแตก ต่างกันเหลือเกิน ตำนานข้างต้นได้ผ่านการปรุงแต่ง เติมสีสัน ให้เรื่องราวของฉาง เอ๋อเป็นเรื่องสวยงาม เพื่อให้เข้ากับความงามของแสงจันทร์ในค่ำคืนนั้น และให้เหมาะกับทัศนะคติของผู้รับสื่อในยุคนั้น ๆ อย่างไรก็ตาม เรื่องราวจะเป็นอย่างไรคง ไม่สำคัญเท่ากับจิตวิญญาณของเทศกาลมากไปกว่าใช้เทศกาลเพื่อการค้าค้าขาย ขนมไหว้พระจันทร์ เหมือนอย่างเทศกาลของฝรั่งอย่าง ฮาโลวีน หรือวาเลนไทน์ เป็นต้น
อ่าน วันไหว้พระจันทร์ ทั้งหมด ได้ที่ todayth.com